Skip to content

แม้เราจะไม่กลัวโควิดเท่าตอนที่มันระบาดใหม่ๆ แต่ก็ยังสบายใจไม่ได้สักที เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เริ่มไม่นิ่ง วัคซีนก็ยังไม่มี นอกประเทศก็ยังระบาดหนัก แถมมีข่าวว่าเจ้าไวรัสตัวนี้มันพัฒนาไว หลบการตรวจเก่ง ไม่แสดงอาการเก่งขึ้นทุกวัน

แน่นอนแหละว่ามาตรการรับมืออย่างใส่แมสก์ ล้างมือ เว้นระยะห่าง ก็ยังต้องมี แต่บางทีก็ดูจะหยวนๆ หย่อนๆ ไปบ้าง เช่น ต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่อย่างเคร่งครัด แต่ไม่แน่ใจว่าเทอร์โมมิเตอร์เออเร่อไปยังนะ หรือสวมแมสก์ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง แต่แมสก์นี่ไม่ได้ซักเลยนะ!

ในยุค New Normal นี้ คุณๆ ทำอะไรกันอยู่บ้าง แล้วคิดว่าไอ้ที่ทำอยู่นั้น ‘กัน’ ได้จริงมะ?

กดลิฟต์โดยไม่ใช้นิ้ว  

ปุ่มลิฟต์คือพื้นที่ Red Alert เพราะไม่รู้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อแวะมากดชั้นเดียวกันตอนไหน เราจึงหลีกเลี่ยงการกดลิฟต์อย่างคุ้นเคยเป็นการถาวร บ้างใช้ศอก (ที่ออกจะยาก) บ้างพกยาดมไว้กดโดยเฉพาะ บ้างก็เพียรปั้นกระดาษทิชชู่ให้หนาพอจะกดได้ บ้างก็ใช้ปลอกปากกาและสารพัดปลอกมาสวมนิ้วซะหน่อย 

ซึ่งก็เหมือนจะโอเคดี ถ้าไม่เผลอหยิบยาดมไปใช้ หรือเผลอกัดปลอกปากกาเพลินๆ เข้าให้!

ประดิษฐ์แมสก์ฉุกเฉินแบบไม่อนามัย 

แมสก์หรือหน้ากากอนามัยกลายเป็นไอเท็มสำคัญระดับไม่ใส่ก็เข้าร้านสะดวกซื้อไม่ได้ พี่รปภ. ไม่ให้ขึ้นตึก พนักงานรถไฟฟ้าไม่ให้ผ่านประตู ฯลฯ แต่โอกาสที่จะลืม ทำหล่น ทำหาย ก็เป็นเรื่องเกินขึ้นได้อยู่เหมือนกัน ทักษะประดิษฐ์แมสก์ฉุกเฉินเป็นใบเบิกทางจึงมักเกิดขึ้น ตัวเลือกอย่างผ้าเช็ดหน้า กระดาษทิชชู่ หรือผ้าพันคอ ก็อาจจะพอไหว 

แต่บางคนเล่นถกคอเสื้อมาปิดจมูกปิดปาก แล้วก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านเพราะยอมใจ อย่างนี้เราก็ว่าไม่ไหวป่ะนะ!  

กลั้นจามกลั้นไอทุกทีเวลาอยู่ในที่สาธารณะ

ไม่ว่าจะเจ็บคอจากต่อมทอนซิลอักเสบ จามเพราะภูมิแพ้ หรือไอค่อกแค่กเพราะสำลักน้ำ แต่ถ้าอยู่ในที่สาธารณะขึ้นมาเมื่อไหร่ การจามและไอนั้นดูเป็นเรื่องผิดบาป กลายเป็นจำเลยสังคมที่ถูกตั้งคำถามว่าจะเป็นผู้แพร่เชื้อหรือไม่ ทักษะใหม่ที่เราต้องมีในยุคนี้คือการกลั้นไอ กลั้นจาม จนหน้าเขียวหน้าแดง เพราะไม่อยากทำให้ทุกคนหวาดกลัว พอๆ กับไม่อยากถูกมองด้วยหางตา

และในทางกลับกัน หากเราได้ยินเสียงจามเสียงไออยู่ใกล้ๆ ตัวเมื่อไหร่ สมองจะสั่งอัตโนมัติให้เรากลั้นหายใจเอาไว้ก่อน ถึงจะมีหน้ากากกันไว้ หรือการไม่ยอมหายใจจะช่วยอะไรไม่ได้ก็เหอะ!

เบียดแบบไม่เบียดทำตัวลีบแบบสุดๆ 

การสร้างระยะห่างกับคนรอบข้าง 1-2 เมตรในเวลานี้ดูจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากไปซะแล้ว เพราะหลายๆ คนก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ขึ้นรถไฟฟ้าในเวลาเร่งด่วน หรือเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต เดินห้างกันเหมือนเคย ปริมาณผู้คนในชีวิตประจำวันจึงหนาแน่นเกินจะเว้นระยะได้ แต่จะให้เบียดชิดแนบสนิทแบบเดิมก็ยังไม่วางใจ เราจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้ลีบสุดๆ ไม่ว่าผู้คนรอบตัวจะเบียดเสียดแค่ไหน

ถึงตัวจะเบียด แต่ใจเราว่าไม่เบียดก็โอเคแหละเนอะ

‘กัน’ อยู่จริงเหรอ? มาสร้างภูมิคุ้มกันที่ตัวเองดีกว่าไหม

การ์ดที่เคยมีก็ดูเหมือนจะทำตกกันไปแล้ว สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ แถมการแทร็กเส้นทางผู้ติดเชื้อก็ยังเป็นเรื่องลี้ลับ แล้วอย่างนี้เราจะไว้ใจหน้ากากที่ไม่อนามัย ระยะห่างที่ไม่จริง พฤติกรรมที่ป้องกันยาก หรือต้องผวาเสียงไอเสียงจามกันไปอีกนานแค่ไหน

การป้องกันตัวเองจาก ‘โรค’ และ ‘โลก’ ภายนอกก็ยังต้องทำ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าและไม่มีใครมาเบียดเบียนเราได้ ก็คือการทำตัวเองให้แข็งแรงไว้ก่อน สร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งพร้อมสู้โรค นอกจากโควิด-19 แล้ว การมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง ยังดูแลให้เราไกลอาการป่วยเล็กๆ และโรคหนักๆ ได้อีกหลายโรคด้วยนะ

จะได้ไม่ต้องมาตั้งคำถามกันอีก ว่าเราทำอะไรกันอยู่เนี่ย!?