Skip to content

เราต่างก็รู้กันดีว่าการจัดงานแต่งเป็นเรื่องใหญ่

ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงของวันพิเศษ แต่ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องใช้เวลานับปีในการวางแผน ลงทุน ลงแรง ลงใจ เพื่อเนรมิตอีเวนต์สำคัญที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ให้ตรงตามภาพที่วาดฝันไว้และเป็นที่ประทับใจของแขกผู้มาร่วมงาน

แบม-ดวงสมร สกุลอารีย์มิตร และกานต์ จิตร์ประวัติ อีกหนึ่งคู่รักที่วางแผนงานแต่งล่วงหน้า จองโรงแรมรองรับแขกกว่า 450 คน และตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว แต่กำหนดการงานแต่งเกิดมาพร้อมกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่เคยมีใครแพลนไว้ จากงานแต่งที่เป็นเรื่องของคนสองคน จึงกลายเป็นเรื่องของส่วนรวมอย่างช่วยไม่ได้  

การรังสรรค์งานแต่งในฝันให้เกิดขึ้นจริงของทั้งคู่ จึงต้องยอมปรับ ยอมเปลี่ยน ทั้งสถานที่ รูปแบบงาน แขกเหรื่อ และอีกมากมาย เพื่อให้งานแต่งครั้งนี้เป็นทั้งตัวแทนความรัก เป็นจุดเริ่มต้นครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวใหม่ และเป็นความห่วงใยต่อครอบครัวใหญ่ และสังคมในช่วงที่ต้องรักษาระยะห่างในเวลาเดียวกัน

Q: งานแต่งในช่วงโควิดของแบมและกานต์เป็นอย่างไร

แบม: ตอนนั้นสถานการณ์มันพลิกผันวันต่อวัน ลุ้นว่าจะล็อกดาวน์กันวันไหน เราเลยตัดสินใจจัดงานแต่งที่บ้านตัวเองค่ะ แขกมีแค่คนในสองครอบครัวที่อยู่บ้านเดียวกับเราทั้งคู่อยู่แล้ว เพียงแต่ครอบครัวเรามีคนเยอะหน่อย บ้านเราเป็นร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างที่มีหน้าร้านโปร่งโล่ง ไม่มีแอร์ อากาศถ่ายเทได้ แล้วเราก็ใช้อุปกรณ์ในบ้านเป็นฉาก ยกโซฟา โต๊ะเล็กต่างๆ มาให้นั่งทำพิธี เอาเก้าอี้ในบ้านมาให้ครอบครัวเรานั่งห่างๆ กัน สร้าง social distance เท่าที่บ้านเราทำได้

งานเราก็ทำพิธีการครบนะคะ มีการสู่ขอ รดน้ำสังข์ ยกน้ำชา แต่ทุกอย่างมีสเตปเพิ่มขึ้น อย่างตอนยกน้ำชาเราก็ใช้แก้วแบบใช้แล้วทิ้งแล้วแปะสติกเกอร์ภาษาจีนซังฮี้ เพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่ การรดน้ำสังข์ก็คอยฉีดแอลกอฮอล์เจลทั้งตอนก่อนจับที่รดน้ำกับหลังรดน้ำ จริงๆ ต้องมีเลี้ยงข้าวทั้งสองครอบครัว แต่เราก็ซื้อข้าวกล่องมาแทนแล้วให้แยกย้ายกลับไปกินบ้านใครบ้านมัน เพราะอยากให้งานจบเร็วๆ (หัวเราะ)

Q: งานแต่งที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้ฝันไว้ใช่ไหม

แบม: ตอนแรกเราจะจัดงานที่โรงแรม เพราะเราทั้งคู่กับญาติเยอะ เพื่อนเยอะ ก็เริ่มวางแผนไว้ค่อนข้างชัดเจนเลยว่าจะทำอะไรบ้าง ในงานฉลองกานต์เขามาบอกทีหลังว่าจะมีร้องเพลงเซอร์ไพรส์ด้วยนะ มีดนตรีสด คิดเอาไว้แล้วว่าพรีเซนเทชั่นจะเป็นอย่างไร ตอนที่เราเดินเข้างานมากับพ่อจะหมุนตัวหนึ่งทีแล้วเดินอะไรแบบนี้ คือจินตนาการไว้เหมือนงานแต่งงานทั่วๆ ไป จริงๆ เราไม่ได้ชอบซีนเอิกเกริกนะ แต่ชอบวางแผนไว้ก่อน

Q: ต้องยอมเปลี่ยนแผนอะไรบ้างเพื่อให้งานแต่งเกิดขึ้นจริง

แบม: ก็ยอมยกเลิกหมดเลย เราจ่ายมัดจำค่าชุด ค่าช่างแต่งหน้า ค่าโรงแรม ค่าดนตรีสดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลายๆ ที่ก็ไม่ได้คืนเงินให้นะ แต่เราก็เข้าใจว่าสถานการณ์อย่างนี้ทุกคนก็ลำบาก

ก่อนหน้านี้เราก็แจกบัตรเชิญมางานเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกคาดหวังว่าแขกจะมี 450 คนเลยนะ ทั้งญาติๆ เพื่อนๆ และพี่ที่ทำงาน แต่ก็ต้องยกเลิกเหมือนกัน เพราะเราอยากจำกัดจำนวนคน ช่วยลดความเสี่ยงทั้งเรา ทั้งเขา แต่คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจ บอกว่าดีแล้วที่จัดแบบนี้ วันจริงหลายๆ คนก็ร่วมอวยพรให้เราผ่านไลน์ ให้เราส่งรูปตอนรดน้ำสังข์ไปแล้วเขาก็จะทำเป็นยืนข้างๆ รดน้ำสังข์ให้เราลงไอจี สตอรี่  บางคนก็ไปค้นรูปที่ไปงานแต่งงานอื่นๆ มาโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วยินดีกับเรา สนุกดี ถ้าแต่งงานปกติเราคงไม่ได้เห็น

Q: เครียดไหมทำไมถึงตัดสินใจไม่เลื่อนงานไปเลยเหมือนคู่อื่นๆ

กานต์: จริงๆ เราเครียดมาตั้งแต่มกราคมเลยครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันก็เปลี่ยนตลอดเวลาเลยนะ จากตอนแรกที่เราก็มีความสุข วางแผนอะไรไว้ พอวันงานเข้าใกล้มาเราก็เริ่มเครียดแล้วว่าจะได้จัดหรือไม่ได้จัด

แบม: เราเครียดจนร้องไห้เลย ปกติคนจัดงานแต่งก็เครียดอยู่แล้วใช่ไหมคะ แต่เราต้องมาเครียดเพราะสถานการณ์มันเดาอะไรไม่ได้เลย แม่ก็เครียดจนร้องไห้ว่าจะจัดหรือไม่จัดดี แบมเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พี่ชายเราก็แต่งมาสามคนแล้ว แม่ก็คงรู้สึกว่าจะได้ฤกษ์เสียที เขาก็ตัดชุดไว้แล้ว มีภาพในฝันของเขาเราเลยไม่อยากเลื่อนหรือไม่จัดไปเลย เพราะกลัวแม่รู้สึกผิดหวัง เขารู้สึกว่ามันเป็นฤกษ์ที่ดีแล้ว อาม่าเราเปิดปฏิทินจีนก็บอกว่ามันเป็นวันมงคลนะ เขาเชื่อไปแล้วว่าเราต้องแต่ง

กานต์: ตอนนั้นเขาก็อยู่ในสภาวะเครียด ไม่มั่นคง กลัวจะเป็นลาง กลัวไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ผมก็เลยถามว่าเราแต่งงานกันเพื่ออะไร เพราะจริงๆ แล้วการแต่งงาน เป็นเรื่องของสองครอบครัวเท่านั้นเอง

Q:  ต้องเปลี่ยนแผนต้องระวังอะไรมากมายแต่สุดท้ายนับเป็นงานแต่งงานที่แฮปปี้เอนดิ้งไหม

แบม: เรารู้สึกดีนะคะ อย่างแรกคืองานแต่งครั้งนี้มันปลอดภัย เพราะก่อนหน้านั้นเราดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ในงานก็ได้ดูแลคนรอบข้างเป็นอย่างดี เราเลยให้ความสำคัญกับเรื่องการเชิญแขก แม้ว่าตอนแรกจะลำบากใจที่จะไม่ได้เชิญคนรู้จักมา เชิญเพื่อนๆ มา แต่มันคือการลดความเสี่ยงให้ทุกคนได้ เป็นการรับผิดชอบสังคมด้วย เพราะทุกคนเขาก็มีครอบครัว มีคนผู้สูงอายุที่ต้องดูแล อย่างเราเองก็มีอาม่า ครอบครัวกานต์ก็มีคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายเราก็มีเด็กเล็กๆ ที่มีความเสี่ยง ต้องระวังเป็นพิเศษ

นอกจากมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ๆ ตัวเราเองก็มีความสุขมาก เพราะงานนี้ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้อยู่กับคนที่เรารัก แบมคิดภาพตัวเองใต้สปอตไลต์มีคน 400 คนมามองตอนเราเดินเข้างาน เราก็เขินนะ พองานจบ ได้คุยกับแม่ เขาบอกว่าแฮปปี้มากกับการจัดงานครั้งนี้ เพราะบรรยากาศมันอบอุ่นมากๆ แล้วก็จัดที่บ้านด้วย อาม่าก็บอกว่าอากงที่เสียไปแล้วได้เห็นด้วยนะ มีความสุขกันทุกฝ่าย (ยิ้ม)