Skip to content

อยู่คนเดียวมันเหงา เราเข้าใจ!

แม้จะต้องกินข้าวคนเดียว ดูซีรีส์คนเดียว ไถเฟซบุ๊กดูคู่รักรอบตัวมีความสุขกันอยู่คนเดียว แต่รู้ตัวหรือเปล่า ว่าในจังหวะที่เรากำลังก้าวเท้าออกจากบ้านไปเจอผู้คนมากมาย ที่จริงแล้วเรากำลังทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่อย่างการ ‘ดูแลคนอื่น’ อยู่ตลอดเวลาเลยนะ 

ซึ่งหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกันที่ดีก่อน เวลาเราไปเจอไข้หวัดหรือเชื้อโรคร้าย ภูมิคุ้มกันในตัวก็จะสแตนด์บายพร้อมจัดการ ถึงคราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะเป็นคนป่วยที่ส่งต่อเชื้อโรคไปหาใครโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นช่วงนี้ถ้ารู้สึกเหงา ไม่มีใครให้ดูแล หรือแอบแคร์ใครอยู่แต่ไม่กล้าบอก ลองหันมาสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองแข็งแรงก่อน ก็เหมือนได้ดูแลกันและกันแล้วล่ะ

ลองมาดูกันดีกว่า ว่าวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันฉบับคนเหงาจะทำยังไงได้บ้าง

นอนคนเดียวแบบไม่กอดมือถือ 

วิธีที่ 1: บอกลาการเล่นมือถือก่อนนอน เพื่อการนอนหลับที่เต็มอิ่ม

นอนคนเดียวมันเหงา ไม่มีใครให้กอด เลยขอหันไปกอดมือถือก่อนแล้วกันคืนนี้ แต่รู้ไหมว่าแสง blue light จากการเล่นมือถือนานๆ ก่อนนอน ส่งผลต่อการหลับสนิทอย่างมาก เพราะเจ้าแสงตัวนี้มีความสว่างจ้า จัดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับแสง UV สมองของเราเลยหลงเข้าใจผิดว่านี่ไม่ใช่ตอนกลางคืน มันจึงหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยเรื่องการหลับลึกได้น้อยลง 

เวลาเรานอนหลับไม่สนิท มักจะเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน ทำให้อะไรก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ร่างกายของเราก็เช่นกัน แทนที่ระบบต่างๆ จะได้หยุดพัก พวกมันเลยต้องทำงานกันต่อไป ภูมิคุ้มกันที่เคยแข็งแรงก็ลดลง ทีนี้พอถึงเวลาต้องออกโรงปกป้องเชื้อโรคเลยไม่สามารถทำได้เต็มที่เราก็เลยเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น และส่งต่อเชื้อโรคไปหาคนอื่นได้ง่ายๆ ยังไงล่ะ

ดังนั้นคนเหงาทั้งหลาย เมื่อถึงเวลานอน สิ่งที่ควรทำมากกว่าการโดดขึ้นเตียงแล้วหยิบมือถือมากดเล่น คือการเอามือถือไปไว้ไกลๆ แล้วหากิจกรรมผ่อนคลายชวนหลับ อย่างการอ่านหนังสือ เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำ หาตุ๊กตาหรือผ้าปิดตาสักอัน แล้วเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนอนจะดีกว่านะ ร่างกายของเราจะได้พักผ่อนเพื่อสร้างภูมิค้มกันอย่างเต็มที่ไปเลย

กินข้าวคนเดียวแต่คิดถึงลำไส้ไปด้วย 

วิธีที่ 2: กินอาหารที่เป็นมิตรกับภายใน ให้ลำไส้ได้สร้างภูมิ

เย็นนี้ต้องกลับไปนั่งกินข้าวคนเดียวอีกแล้วหรอ! ถึงจะต้องกินข้าวเหงาๆ ไม่มีใครให้คิดถึง แต่อย่าลืมคิดถึงลำไส้ของตัวเองนะ เพราะ 80% ของระบบภูมิคุ้มกันสร้างได้ที่ลำไส้ของเรา ดังนั้นยิ่งกินอาหารที่ดี หลีกเลี่ยงการปรุงแต่งได้มากเท่าไหร่ร่างกายของเราก็จะยิ่งสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีเท่านั้น

แน่นอนว่าการกินผักหลายสีคือสิ่งที่เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าดีต่อสุขภาพ ดังนั้นตอนสั่งอาหารคราวหน้าก็ลองบอกพี่คนขายดูว่าขอผักจัดเต็มมาเลย และจะดีกว่านั้นอีกถ้าเราเพิ่มพริกแดง กระเทียม ผักโขม ขมิ้น หรือธัญพืชต่างๆ เข้าไปด้วย หรือถ้าใครชอบของหมักดองอย่างคอมบูชา ถั่วหมัก กิมจิ และโยเกิร์ต เจ้าพวกนี้ก็เป็นอาหารที่เป็นมิตรกับลำไส้ของเราเช่นกัน แต่ต้องแน่ใจว่ามันสะอาดนะ

เมื่อได้กินอาหารที่ดี ลำไส้ของเราก็จะสร้างแบคทีเรียตัวเก่งที่เป็นภูมิคุ้มกันออกมาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้สบาย คราวนี้จะออกไปไหน จะทำอะไรก็ลดความกังวลว่าจะป่วยไข้ไปได้เยอะ แบบนี้ก็สบายใจได้เลยว่าเราจะไม่ไปแพร่เชื้อที่ไหนแน่นอน

ออกกำลังกายคนเดียวให้ตัวเองวันนี้ฟิตกว่าเมื่อวาน

วิธีที่ 3: รักษาน้ำหนักให้พอดีเข้าไว้ โรคภัยจะได้ไม่ถามหา

ถึงจะต้องออกกำลังกายอยู่คนเดียวเหงาๆ ไม่รู้จะเอาหุ่นดีๆ ไปอวดใคร ก็อย่าเพิ่งลดละความพยายามไปซะก่อนนะ เพราะการรักษาน้ำหนักให้เป็นปกติ ตรงตามมาตรฐาน BMI คือการบริหารระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยเหมือนกัน

บางคนอาจบอกว่า ฉันผอมอยู่แล้วจะออกกำลังกายไปทำไม? หรือผมไม่ได้อยากมีหุ่นผอมเพรียวสักหน่อย! แต่การมีน้ำหนักที่ไม่สอดคล้องกับส่วนสูง ทั้งมากและน้อยจนเกินไป ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิด เมื่อเจออะไรแปลกปลอมเข้าไปหน่อย เราก็อาจจะป่วยไข้ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป และกลายเป็นคนแพร่เชื้อหาคนอื่นเพราะร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีพอ  ซึ่งในระยะยาว การมีน้ำหนักที่ไม่สมดุลอาจส่งผลกระทบร้ายแรงไปถึงการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายและอาจทำให้โรคเรื้อรังต่างๆ ตามมาได้อีกสารพัดเลยล่ะ

อาบน้ำคนเดียวมีกลิ่นเป็นเพื่อนช่วยผ่อนคลาย

วิธีที่ 4: ใช้กลิ่นหอมเยียวยาใจ ไม่ให้ภูมิคุ้มกันลด

อยู่ตัวคนเดียว เลยต้องแบกเรื่องหนักๆ เอาไว้คนเดียว รู้ตัวอีกทีปัญหาต่างๆ ก็สะสมจนกลายเป็นความเครียดซะแล้ว 

รู้หรือเปล่าว่าความเครียดนั้นเป็นภัยร้ายพอๆ กับการไม่รักษาสุขภาพ เพราะนอกจากภูมิคุ้มกันจะสร้างได้จากกิจวัตรประจำวันแล้ว ภูมิคุ้มกันอีกส่วนหนึ่งก็เกิดได้จากสุขภาพใจที่ดีนี่แหละ ถ้าเราเครียด ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลไปยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มันทำงานได้ไม่เต็มที่ พอเจอเชื้อโรคเข้าหน่อยก็เกิดอาการป่วยทันที แถมบางทียังหายช้ากว่าปกติ 

ดังนั้นแม้กลับบ้านมาจะไม่มีใครให้แชร์สารทุกข์สุขดิบ ก็ลองเปลี่ยนมาสร้างความสุขให้ตัวเองด้วยการใช้กลิ่นหอมสบายๆ จากธรรมชาติ วางไว้ในพื้นที่ที่เราจะได้ใช้เวลากับตัวเองมากที่สุด ลองอาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นหอม เพิ่มความผ่อนคลายอีกนิดด้วยเทียนหอมกลิ่นธรรมชาติ เจ้ากลิ่นพวกนี้จะช่วยให้ระบบสมองของเราทำงานได้ดีขึ้น สร้างฮอร์โมนเพิ่มความสุข เมื่อความเครียดลดลง ระบบภายในร่างกายก็จะกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมแล้ว

ดูแลตัวเองคนเดียวก็เท่ากับดูแล ‘คนอื่น’ ด้วย

สุดท้ายนี้ ดูแลตัวเองก็เท่ากับดูแลกันและกันนะ  

แม้การอยู่คนเดียวในบางครั้งจะแอบเหงาใจไปสักหน่อย แต่การรักษาสุขภาพให้ดีอย่างรอบด้าน จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายของเรามีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพร้อมทั้งกายและใจ คราวนี้เมื่อถึงเวลาต้องออกนอกบ้าน เราก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไปว่าจะเผลอส่งต่อเชื้อโรคร้ายๆ ไปให้คนอื่นเจ็บป่วยต่อหรือเปล่า

ไม่แน่นะ สักวันหนึ่งเราอาจจะได้เจอใครอีกคน ที่ดูแลตัวเองดี (และเหงา)
ไม่แพ้กัน มาให้เราได้ช่วยดูแลกันและกัน แล้วคราวนี้การดูแลสุขภาพ
ก็จะไม่ใช่เรื่องเหงาๆ ของเราแค่คนเดียวอีกต่อไป สู้นะคนเหงา!